วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556


บทที่ 1
โครงการการศึกษาอิสระ

ชื่อโครงการ  การใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker” กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
ผู้รับผิดชอบโครงการ  นางสาววิจิตรา แก่นพุฒ รหัส 53010522019
ที่ปรึกษาโครงการ  รองศาสตราจารย์ ดร. ไชยยศ เรืองสุวรรณ
หลักการและเหตุผล
ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คนมากขึ้นทั้งต่อการทำงานและการดำรงชีวิต ส่งผลให้เกิดการพัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียนต่างๆต้องให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการดำรงชีวิต และการทำสื่อการเรียนการสอนแบบวิดีโอ ก็ง่ายต่อการเข้าใจในการเรียนการสอนมากขึ้น
หากเราพูดถึงเรื่องการตัดต่อวิดีโอ เราก็จะคิดว่า งานเช่นนี้เป็นเรื่องของผู้ที่มีความชำนาญโดยเฉพาะ เป็นเรื่องเกินความสามารถของผู้ใช้ PC ทั่วไป แต่ ณ ตอนนี้ ซอฟต์แวร์สำหรับการตัดต่อวิดีโอได้ออกสู่ตลาด และเป็นที่นิยมหลายโปรแกรม เช่น Adobe Premiere อย่างไรก็ตาม ในแง่ของผู้ใช้ PC ทั่วๆไปแล้ว ซอฟต์แวร์เหล่านี้ยุ่งยากและซับซ้อนเกินไป แม้ว่าจะมีความสามารถมากมาย แต่ก็อาจเกินความจำเป็นสำหรับการตัดต่อวิดีโอ อีกทั้งยังอาจทำให้ผู้ใช้สับสนกับคำสั่งจำนวนมากกับโปรแกรมเหล่านี้
และด้วยความนิยมการตัดต่อวิดีโอของผู้ใช้ PC ที่มีเพิ่มมากขึ้น Microsoft จึงนำโปรแกรม Windows Movie Maker บรรจุรวมเข้ามาเข้ามาใน Windows Me ด้วย โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอแบบง่ายๆ ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไปสามารถใช้งานได้ ดังนั้นผู้ติดตั้ง Windows Me ใน PC ที่ใช้งานจึงสามารถตัดต่อวิดีโอได้โดยไม่ต้องหารโปรแกรมอื่นมาติดตั้งเพิ่มอีก ทั้งนี้ข้าพเจ้า จึงมีการจัดทำโครงการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ ด้วยโปรแกรม Windows Movie Maker  เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคตในด้านการจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพและง่ายต่อการสอนมากยิ่งขึ้น
ความมุ่งหมาย
1.       เพื่อศึกษาหาความหมาย และวิธีการใช้งานต่างๆของโปรแกรม Windows Movie Maker 
2.       เพื่อศึกษาข้อดี และข้อเสียของโปรแกรม Windows Movie Maker 
3.       เพื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker  กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนจากคณะครูระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ขั้นตอนในการดำเนินงาน
รายการกิจกรรม
ระยะเวลา
ขั้นวางแผน
-          เขียนโครงการ
-          เขียนแบบสอบถาม
15 มกราคม 2556
ขั้นดำเนินการ
1.       เสนอโครงการเพื่อขออนุมัติ
2.       ดำเนินงานตามความมุ่งหมาย ดังนี้
2.1   ศึกษาตามจุดมุ่งหมายข้อที่ 1.ศึกษาหาความหมาย และวิธีใช้งานต่างๆของโปรแกรม Movie Maker 
2.2   ศึกษาตามจุดมุ่งหมายข้อ 2. คือศึกษาข้อดี ข้อเสียของโปรแกรม Movie Maker 
2.3   ศึกษาตามจุดมุ่งหมายข้อ 3. สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้โปรแกรม “Movie Maker  กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนจากคณะครูระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
29 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2556
ขั้นประเมินผล
1.       สรุปผลและจัดทำรูปเล่ม
2.       นำเสนอ

5-7 มีนาคม 2556
8 มีนาคม 2556

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.       ได้ทราบถึงความหมาย และวิธีใช้งานต่างๆของโปรแกรม Movie Maker 
2.       ได้ทราบถึงข้อดี ข้อเสียของโปรแกรม Movie Maker 
3.       ได้ทราบถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้โปรแกรม “Movie Maker  กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนจากคณะครูระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
  
ทำความรู้จัก Windows Movie Maker
          Windows Movie Maker เป็นโปรแกรมสร้างหนัง เช่นเดียวกันกับ Adobe Premiere ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมระดับมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของ Windows Movie Maker เวอร์ชั่นใหม่นี้ จะช่วยให้คุณสามารถสร้างหนังได้ในระดับที่คุณจะพอใจมากเลยทีเดียว
          Windows Movie Maker เป็นฟรีแวร์ ซึ่งแถมมาให้กับ Windows XP service pack 2 ขึ้นไป (เวอร์ชั่นนี้ไม่สามารถใช้งานได้กับ Windows ME) ดังนั้น สำหรับใครๆ ที่ยังใช้เวอร์ชั่นอื่นอยู่ ถ้าสนใจอยากลองก็คงต้อง Upgrade Windows ของคุณก่อน สำหรับการใช้งานหลังจากทดสอบแล้ว พบว่าไม่ยุ่งยาก และเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเลย อย่างไรก็ตามลองมาศึกษาในรูปแบบของเราได้ครับ
ความสามารถของ Windows Movie Maker                
•         รองรับไฟล์ประเภท photo, audio, video ต่างๆ มากมาย
•         สามารถแบ่งไฟล์หนังเป็นส่วนย่อยๆ พร้อมกับนำภาพ หรือเพิ่ม effects ได้
•         นำภาพนิ่งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหนังได้
•         เครื่องมือใหม่เสริมเข้ามา เช่น title or credit, effects, transitions
•         เปลี่ยนเสียงจากต้นฉบับมาเป็นเสียงของคุณเองได้ตามต้องการ
•         บันทึกเป็นไฟล์ลงคอมฯ CD, E-mail, Web หรือ DV Camera ได้

วิธีการใช้งานโปรแกรม WINDOWS MOVIE MAKER
WINDOWS MOVIE MAKER เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์น้อย เพราะเป็นโปรแกรมที่ยังมีลูกเล่นไม่มากนัก และยังเป็นโปรแกรมแถมมากับโปรแกรม WINDOWS อีกด้วย โดยที่ไฟล์ที่ได้จากการตัดต่อจะเป็น WMV ที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นเนื้อที่ภายในฮาร์ดดีสก์ที่ใช้เก็บไฟล์วิดีโอก็ใช้น้อยด้วยเช่นกัน
          สำหรับไฟล์วิดีโอ และไฟล์มีเดียอื่นๆ ที่โปรแกรม Windows Media Player รองรับ หรือสามารถนำเข้าไฟล์นี้ได้ มีดังนี้
-          ไฟล์วิดีโอ ที่สามารถนำเข้าไฟล์วิดีโอที่มีนามสกุลดังต่อไปนี้
ASF, AVI, WMV, MPEG, MIV, MP2, MPA, และ MPE
-          ไฟล์เสียง ที่สามาถนำเข้าไฟล์เสียงที่มีนามสกุลดังต่อไปนี้
AU, AIF, AIFE, MPM3, SND, WAV, และ WMA
-          ไฟล์ภาพกราฟฟิก ที่สามารถนำเข้ามาในโปรแกรมได้นามสกุลดังต่อไปนี้
BMP, GIB, JPG, JPEG, JPE, และ JIFF

การเปิดโปรแกรม Windows Movie Maker
          การเปิดโปรแกรม Windows Movie Maker ทำได้ 2 ลักษณะคือ

ส่วนประกอบของ Windows Movie Maker





ข้อดีของการใช้โปรแกรม Windows Movie Maker
1.       ประหยัดทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์
2.       ตัดต่อวิดีโอง่าย
3.       สามารถแบ่งไฟล์หนังเป็นส่วนย่อยๆ พร้อมกับนำภาพ หรือเพิ่ม effects ได้
ข้อเสียของการใช้โปรแกรม Windows Movie Maker
1.       เครื่องมือในการทำงานไม่ทันสมัย
2.       การโหลดวิดีโอลงเครื่องจะช้า

บทที่2
วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า

ในการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker” กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน  และเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ ตอบรับกับนโยบายปฏิรูปการศึกษา
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
          ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่  ครูที่สอนในระดับมัธยมศึกษาจำนวน  
30  คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
          1.   แบบสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับการใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker” กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
2.  แบบสำรวจความคิดเห็นการใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker” กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
การเก็บรวบรวมข้อมูล
          ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มประชากร  ซึ่งเป็นครูที่สอนในระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนผดุงนารี   และโรงเรียนสารคามพิทยาคม  ในวันที่   6-7  มีนาคม   2556
ลักษณะของแบบสอบถาม
          แบบสอบถามแบ่งออกเป็น   ส่วน  ดังนี้
ส่วนที่ 1 แบบสำรวจข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่  เพศ   อายุ 
ระดับการศึกษา   ประสบการณ์สอน (สำหรับครูผู้สอน) รายวิชาที่สอน และระดับชั้นที่สอน ซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะเลือกตอบ จำนวน 6 ข้อ
ส่วนที่ 2 แบบสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม “Windows Movie
Maker”กับการเรียนการสอนของผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะคำถามปลายปิดแบบตรวจสอบรายการ จำนวน  4  ข้อ                                                                                                                        
                   ส่วนที่ 3 แบบสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker”ซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะมาตราส่วนประเมินค่า จำนวน  7  ข้อ  
ส่วนที่ 4 แบบสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำโปรแกรม “Windows Movie
Maker” ใช้ในพัฒนาสื่อการเรียนการสอนซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะแสดงความคิดและข้อเสนอแนะ  จำนวน  1  ข้อ


การวิเคราะห์ข้อมูล
การศึกษาในครั้งนี้  ผู้ศึกษาได้นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาวิเคราะห์ตามขั้นตอนดังนี้
ส่วนที่ 1 แบบสำรวจข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่  เพศ   อายุ 
ระดับการศึกษา   ประสบการณ์สอน (สำหรับครูผู้สอน) รายวิชาที่สอน และระดับชั้นที่สอน โดยการหาค่าร้อยละ
ส่วนที่ 2 แบบสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม “Windows Movie
Maker” กับการเรียนการสอนของผู้ตอบแบบสอบถาม  โดยการหาค่าร้อยละ
                   ส่วนที่ 3 แบบสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker”  โดยการหาเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ส่วนที่ 4 แบบสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำโปรแกรม “Windows Movie
Maker” ใช้ในพัฒนาสื่อการเรียนการสอนซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะแสดงความคิดและข้อเสนอแนะ

  
 บทที่ 3
ผลการศึกษาค้นคว้า

การแปลผล
ส่วนที่ 1 แบบสำรวจข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่  เพศ   อายุ 
ระดับการศึกษา   ประสบการณ์สอน (สำหรับครูผู้สอน) รายวิชาที่สอน และระดับชั้นที่สอนซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะเลือกตอบ

สูตรการหาร้อยละ        =  
เมื่อ      n        แทน    จำนวนของข้อมูลที่เลือก
N        แทน    จำนวนของข้อมูลทั้งหมด
                                                                                       (ตางรางที่1)
ข้อมูลส่วนที่1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
จำนวน
ร้อยละ
1. เพศ


    ชาย
15
50
    หญิง
15
50
รวม
30
100
2. อายุ


    26-30 ปี
2
6.66
    31-35 ปี
9
30
    36-40 ปี
10
33.33
    41-45 ปี
3
10
    46-50 ปี
4
13.33
    50 ปีขึ้นไป
2
6.66
รวม
30
100
3. ระดับการศึกษา


    อนุปริญญาหรือเทียบเท่า
0
0
    ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
20
66.66
    ปริญญาโท
9
30
    ปริญญาเอก
1
3.33
รวม
30
100
4. ประสบการณ์สอน (สำหรับครูผู้สอน)


    น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ปี
2
6.66
    2-3 ปี
9
30
    มากกว่า 4 ปีขึ้นไป
19
63.33
รวม
30
100
5. รายวิชาที่สอน


    ภาษาไทย
4
13.33
    สุขศึกษาและพลศึกษา
1
3.33
    วิทยาศาสตร์
6
20
    สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
1
3.33
    คณิตศาสตร์
6
20
    ภาษาต่างประเทศ
1
3.33
    ศิลปะ
2
6.66
    การงานอาชีพและเทคโนโลยี
2
6.66
    คอมพิวเตอร์
3
10
    ฟิสิกส์
0
0
    เคมี
1
3.33
    ชีววิทยา
2
6.66
    ดนตรี นาฏศิลป์
1
3.33
รวม
30
100
6. ระดับชั้นที่สอน


    ม. 1
4
13.33
    ม. 2
8
26.66
    ม. 3
4
13.33
    ม. 4
5
16.66
    ม. 5
8
26.66
    ม. 6
1
3.33
รวม
30
100


จากตารางที่1 พบว่าเมื่อหาค่าร้อยละแล้วผู้ตอบแบบสอบถามส่วนพบว่าเพศชาย และเพศหญิงกรอกแบบสอบถามเท่ากันคือร้อยละ 50  ผู้กรอกแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในระดับช่วงอายุ 36-40 ปี ร้อยละ 33.33 รองลงมาอายุ 31-35 ปี ร้อยละ 30 อายุ 46-50 ปี ร้อยละ 13.33 อายุ 41-45 ปี ร้อยละ 10 อายุ 26-30 ปี และอายุ 50ปีขึ้นไป ร้อยละ 6.66 มีระดับชั้นการศึกษา ปริญญาตรีหรือเทียบเท่าร้อยละ 66.66 ปริญญาโทร้อยละ 30 และปริญญาเอกร้อยละ 3.33ประสบการณ์ในการสอนส่วนใหญ่มากกว่า 4 ปีขึ้นไปร้อนละ 63.33รองลงมาคือ 2-3 ปีร้อยละ 30 และสุดท้ายน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ปีร้อยละ6.66 รายวิชาที่สอนคือ ภาษาไทย ร้อยละ 13.33  สุขศึกษาและพลศึกษาร้อยละ 3.33 วิทยาศาสตร์ร้อยละ20 สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมร้อยละ 3.33% คณิตศาสตร์ร้อยละ20 ภาษาต่างประเทศร้อยละ 3.33  ศิลปะร้อยละ 6.66% การงานอาชีพและเทคโนโลยีร้อยละ 6.66 คอมพิวเตอร์ร้อยละ10 เคมีร้อยละ3.33  ชีววิทยาร้อยละ 6.66 และดนตรีนาฏศิลป์ร้อยละ 3.33 ส่วนใหญ่สอนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ร้อยละ 26.66 รองลงมาก็ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ร้อยละ 16.66  มัธยมศึกษาปีที่ 1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร้อยละ13.33 และสุดท้ายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ3.33

ส่วนที่ 2 แบบสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม “Windows Movie
Maker” กับการเรียนการสอนของผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะคำถามปลายปิดแบบตรวจสอบรายการ

สูตรการหาร้อยละ        =  
เมื่อ      n        แทน    จำนวนของข้อมูลที่เลือก
N        แทน    จำนวนของข้อมูลทั้งหมด
        (ตารางที่ 2)
ข้อมูลส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน


โปรแกรม " Windows Movie Maker "
 จำนวน
 ร้อยละ
กับการเรียนการสอนของผู้ตอบแบบสอบถาม


1. ท่านเคยใช้โปรแกรม" Windows Movie Maker "

หรือไม่ (ถ้าท่านตอบว่าไม่เคยใช้กรุณานำ


แบบสอบถามส่งคืนผู้ศึกษา แต่ถ้าเคยใช้ก็ตอบ


แบบสอบถามในข้อต่อไป)


    เคยใช้
20
66.66
    ไม่เคยใช้
10
33.33
รวม
30
100
2. ท่านเคยใช้โปรแกรม" Windows Movie Maker "

กับการพัฒนาสื่อการสอนหรือไม่


    เคยใช้
11
36.66
    ไม่เคยใช้
9
30
รวม
20
66.66
3. ถ้าท่านเคยใช้โปรแกรม” Windows Movie


Maker “ ท่านใช้โปรแกรมนี้ทำอะไร


    ตัดต่อรูปภาพ
8
26.66
    ตัดต่อวิดีโอส่วนตัว
3
10
    ตัดต่อวิดีโอเพื่อทำสื่อการสอน
9
30
รวม
20
66.66
4. ถ้าไม่มีโปรแกรม “ Windows Movie Maker “


ท่านใช้โปรแกรมอะไรในการตัดต่อวิดีโอ


    -
 -
 -
รวม
0
0

จากตารางที่2  พบว่าเมื่อหาค่าร้อยละแล้วผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เคยใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” ร้อยละ 66.66 และไม่เคยใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” ร้อยละ 33.33  เคยใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” เคยใช้ร้อยละ 36.66  ไม่เคยใช้ร้อยละ 30 ใช้โปรแกรม “ Windows Movie Makerทำอะไรบ้าง ตัดต่อรูปร้อยละ 26.66 ตัดต่อวิดีโอส่วนตัวร้อยละ 10 ตัดต่อวิดีโอทำสื่อการสอนร้อยละ 30 ความคิดเห็นเกี่ยวกับใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” ไม่มีผู้แสดงความคิดเห็น

ส่วนที่ 3 แบบสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม “Windows Movie Maker” ซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะมาตราส่วนประเมินค่า นำผลคะแนนที่ได้จากแบบสอบถามความคิดเห็นการใช้โปรแกรมบทเรียนในการจัดการเรียนการสอนมาวิเคราะห์ โดยหาค่าเฉลี่ย สรุปความคิดเห็นต่าง ๆ ใช้มาตราส่วนในการประเมินค่า โดยให้น้ำหนักคะแนนดังนี้
                             ระดับ 5                    หมายถึง          มากที่สุด
                             ระดับ 4                    หมายถึง          มาก
                             ระดับ 3                    หมายถึง          ปานกลาง
                             ระดับ 2                   หมายถึง          น้อย
                             ระดับ 1                    หมายถึง          น้อยที่สุด
โดยใช้สูตรดังต่อไปนี้
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic mean)
          ค่าเฉลี่ย   หมายถึง  ค่าที่หาได้จากผลรวมของข้อมูลทั้งหมด  หารด้วยจำนวนข้อมูลทั้งหมดของข้อมูลชุดนั้นเช่นเดียวกัน
          สูตรที่ใช้คำนวณ              =  
เมื่อ      S X    แทน    ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
                                      N        แทน    จำนวนของข้อมูลทั้งหมด
                                      X        แทน    ค่าเฉลี่ย
นำค่าเฉลี่ยของผลการทำแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมบทเรียนในการจัดการเรียนการสอนมาแปลความหมายเปรียบเทียบกับมาตราส่วนประมาณค่าเฉลี่ยดังนี้ (บุญส่ง นิลแก้ว,2530)
                             4.50-5.00       หมายความว่า    ระดับมากที่สุด
                             3.50-4.49       หมายความว่า    ระดับมาก
                             2.50-3.49       หมายความว่า    ระดับปานกลาง
                             1.50-2.49       หมายความว่า    ระดับน้อย
                             1.00-1.49       หมายความว่า    ระดับน้อยที่สุด
     (ตารางที่3)
ข้อมูลส่วนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจ
ค่าเฉลี่ย
ระดับความคิดเห็น
จากการใช้โปรแกรม " Windows Movie


Maker "


1. ด้านการใช้งาน


    1.1 ท่านเข้าใจการทำงานของโปรแกรม
2.2
ระดับน้อย 
" Windows Movie Maker "


    1.2 โปรแกรม" Windows Movie Maker "
2.36
 ระดับน้อย 
ง่ายต่อการตัดต่อวิดีโอ


    1.3 โปรแกรม" Windows Movie Maker
2.2
 ระดับน้อย 
ง่ายต่อการทำสื่อการสอน


    1.4 ท่านมีความพึงพอใจในการใช้โปรแกรม
2.23
ระดับน้อย  
" Windows Movie Maker "


2. ด้านการนำโปรแกรม" Windows Movie Maker "

ไปใช้งาน


    2.1 มีความสะดวกสบายต่อการใช้งาน
2.2
ระดับน้อย  
    2.2 สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
2.3
ระดับน้อย  
ได้จริง


    2.3 นำไปใช้ในการเรียนการสอนได้อย่าง
2.3
ระดับน้อย  
มีประสิทธิภาพ


จากตารางที่3 พบว่าข้อมูลส่วนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม"Windows Movie Maker "
ด้านการใช้งาน เข้าใจการทำงานของโปรแกรม " Windows Movie Maker " ค่าเฉลี่ยคือ 2.2 โปรแกรม" Windows Movie Maker "ง่ายต่อการตัดต่อวิดีโอ ค่าเฉลี่ยคือ 2.36 โปรแกรม" Windows Movie Maker " ง่ายต่อการทำสื่อการสอน ค่าเฉลี่ยคือ 2.2 มีความพึงพอใจในการใช้โปรแกรม" Windows Movie Maker " ค่าเฉลี่ยคือ 2.23
          ด้านการนำโปรแกรม" Windows Movie Maker "ไปใช้งาน  มีความสะดวกสบายต่อการใช้งาน ค่าเฉลี่ยคือ 2.2 สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนได้จริง ค่าเฉลี่ยคือ 2.3 นำไปใช้ในการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่าเฉลี่ยคือ 2.3
          จากการหาค่าเฉลี่ยข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม"Windows Movie Maker " ส่วนมากจะอยู่ในระดับน้อย

ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)   จะแสดงให้ทราบถึงลักษณะกลุ่มความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม การคำนวณไม่ยุ่งยาก    ใช้ข้อมูลทุกตัวและไม่คำนึงถึงค่าสัมบูรณ์ (Absolute)   ฉะนั้นในงานวิจัยการวัดการกระจายด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจึงนิยมใช้มาก   ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหาได้จากการนำอาส่วนเบี่ยงเบนของข้อมูลจากค่าเฉลี่ย   (X – X)  แต่ละค่ามายกกำลังสองแล้วหาผลรวมของกำลังสองส่วนเบี่ยงเบนนั้น
                   สูตรที่ใช้คำนวณ            S.D. =  
เมื่อ      S X    แทน    ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
                                      n        แทน    จำนวนของข้อมูลทั้งหมด
นำค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลการทำแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมบทเรียนในการจัดการเรียนการสอนมาแปลความหมายเปรียบเทียบกับมาตราส่วนประมาณค่าเฉลี่ยดังนี้
ถ้า  SD =  0     หมายถึง          ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นสอดคล้องกัน
         
0 < SD > 1     หมายถึง          ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นค่อนข้างเหมือนกัน
         
SD  >  1         หมายถึง          ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นแตกต่างกัน
                                                                                           (ตารางที่ 4)
ข้อมูลส่วนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจ
ค่า S.D
ระดับความคิดเห็น
จากการใช้โปรแกรม " Windows Movie


Maker "


1. ด้านการใช้งาน


    1.1 ท่านเข้าใจการทำงานของโปรแกรม
1.62
ระดับน้อย   
" Windows Movie Maker "


    1.2 โปรแกรม" Windows Movie Maker "
1.75
ระดับน้อย   
ง่ายต่อการตัดต่อวิดีโอ


    1.3 โปรแกรม" Windows Movie Maker
1.64
ระดับน้อย   
ง่ายต่อการทำสื่อการสอน


    1.4 ท่านมีความพึงพอใจในการใช้โปรแกรม
1.65
ระดับน้อย   
" Windows Movie Maker "


2. ด้านการนำโปรแกรม" Windows Movie Maker "

ไปใช้


    2.1 มีความสะดวกสบายต่อการใช้งาน
1.62
 ระดับน้อย 
    2.2 สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
1.7
    ระดับน้อย   
ได้จริง


    2.3 นำไปใช้ในการเรียนการสอนได้อย่าง
1.7
    ระดับน้อย   
มีประสิทธิภาพ



จากตารางที่4 พบว่าข้อมูลส่วนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม"Windows Movie Maker "


ด้านการใช้งาน เข้าใจการทำงานของโปรแกรม " Windows Movie Maker " ค่า S.Dคือ 1.62 โปรแกรม" Windows Movie Maker "ง่ายต่อการตัดต่อวิดีโอ ค่า S.D คือ 1.75 โปรแกรม" Windows Movie Maker " ง่ายต่อการทำสื่อการสอน ค่า S.D คือ 1.64 มีความพึงพอใจในการใช้โปรแกรม" Windows Movie Maker " ค่า S.D คือ 1.65
          ด้านการนำโปรแกรม" Windows Movie Maker "ไปใช้งาน  มีความสะดวกสบายต่อการใช้งาน ค่า S.D คือ 1.62 สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนได้จริง ค่า S.D คือ 1.7 นำไปใช้ในการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่า S.D คือ 1.7
จากการหาค่า S.D ข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม"Windows Movie Maker " ส่วนมากจะอยู่ในระดับน้อย

ส่วนที่ 4 แบบสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำโปรแกรม “Windows Movie
Maker” ใช้ในพัฒนาสื่อการเรียนการสอนซึ่งแบบสอบถามเป็นลักษณะแสดงความคิดและข้อเสนอแนะ
-          ไม่มีข้อเสนอแนะ

บทที่ 4
สรุปผลการศึกษาค้นคว้า อภิปราย และเสนอแนะ
ในการศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้โปรแกรม“Windows Movie Maker” กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน และเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ
สรุปผล
1. ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่าเมื่อหาค่าร้อยละแล้วผู้ตอบแบบสอบถามส่วนพบว่าเพศชาย และเพศหญิงกรอกแบบสอบถามเท่ากันคือร้อยละ 50  ผู้กรอกแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในระดับช่วงอายุ 36-40 ปี ร้อยละ 33.33 รองลงมาอายุ 31-35 ปี ร้อยละ 30 อายุ 46-50 ปี ร้อยละ 13.33 อายุ 41-45 ปี ร้อยละ 10 อายุ 26-30 ปี และอายุ 50ปีขึ้นไป ร้อยละ 6.66 มีระดับชั้นการศึกษา ปริญญาตรีหรือเทียบเท่าร้อยละ 66.66 ปริญญาโทร้อยละ 30 และปริญญาเอกร้อยละ 3.33ประสบการณ์ในการสอนส่วนใหญ่มากกว่า 4 ปีขึ้นไปร้อนละ 63.33รองลงมาคือ 2-3 ปีร้อยละ 30 และสุดท้ายน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ปีร้อยละ6.66 รายวิชาที่สอนคือ ภาษาไทย ร้อยละ 13.33  สุขศึกษาและพลศึกษาร้อยละ 3.33 วิทยาศาสตร์ร้อยละ20 สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมร้อยละ 3.33% คณิตศาสตร์ร้อยละ20 ภาษาต่างประเทศร้อยละ 3.33  ศิลปะร้อยละ 6.66% การงานอาชีพและเทคโนโลยีร้อยละ 6.66 คอมพิวเตอร์ร้อยละ10 เคมีร้อยละ3.33  ชีววิทยาร้อยละ 6.66 และดนตรีนาฏศิลป์ร้อยละ 3.33 ส่วนใหญ่สอนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ร้อยละ 26.66 รองลงมาก็ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ร้อยละ 16.66  มัธยมศึกษาปีที่ 1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร้อยละ13.33 และสุดท้ายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ3.33
2. ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม “Windows Movie Maker” กับการเรียนการสอนของผู้ตอบแบบสอบถาม
ผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่าเมื่อหาค่าร้อยละแล้วผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เคยใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” ร้อยละ 66.66 และไม่เคยใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” ร้อยละ 33.33  เคยใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” เคยใช้ร้อยละ 36.66  ไม่เคยใช้ร้อยละ 30 ใช้โปรแกรม “ Windows Movie Makerทำอะไรบ้าง ตัดต่อรูปร้อยละ 26.66 ตัดต่อวิดีโอส่วนตัวร้อยละ 10 ตัดต่อวิดีโอทำสื่อการสอนร้อยละ 30 ความคิดเห็นเกี่ยวกับใช้โปรแกรม “ Windows Movie Maker” ไม่มีผู้แสดงความคิดเห็น
3. ข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการใช้โปรแกรม“Windows Movie Maker
ผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่าเมื่อหาค่าเฉลี่ยแล้วส่วนใหญ่ความคิดเห็นการใช้โปรแกรมบทเรียนในการจัดการเรียนการสอนอยู่ในเกณฑ์น้อยมาก ค่าเฉลี่ยคือ 2.2-2.36 ส่วนค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานก็อยู่ในเกณฑ์ที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นค่อนข้างเหมือนกัน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ในช่วง 0 < SD > 1ซึ่งหมายความว่าลักษณะกลุ่มความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นค่อนข้างเหมือนกัน
4ใ ความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำโปรแกรม “Windows Movie Maker” ใช้ในพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
-          ไม่มีข้อเสนอแนะใดๆ

อภิปราย
จากการศึกษาค้นคว้าอิสระการใช้โปรแกรม“Windows Movie Maker” กับพัฒนาสื่อการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาครั้งนี้สามารถอภิปรายได้ดังนี้ ครูผู้สอนที่ใช้โปรแกรม“Windows Movie Maker”ในการผลิตสื่อการสอนจะมีแค่ส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะเน้นสอนตามหนังสือมากว่าการใช้สื่อการสอน และใช้สื่อสำเร็จในการสอนมากว่าการผลิตสื่อเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น